วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กระแตไต่ไม้






ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ : Drynaria quercifolia
ชื่ออื่นๆ :
( ภาคกลางเรียก)   กระแตไต่ไม้ 
( จันทบุรีเรียก)  กระปรอก
( ประจวบคีรีขันธ์ และ ปราจีนบุรีเรียก) กระปรอกว่าว
(กะเหรี่ยง และ แม่ฮ่องสอน)  กูดขาฮอก , พุดองแคะ , เช้าวะนะ
(มาลายู และ ปัตตานี)   เดาน์กาโละ
(กาญจนบุรี)  ใบหูช้าง , สไบนาง
( สุรินทร์)  สะโมง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เฟิร์นอิงอาศัย เหง้าทอดยาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-4 ซม. ยาวได้ถึง 1 ม. หรือมากกว่า มีเกล็ดสีน้ำตาลเข้ม เกล็ดแคบ กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 1.8 ซม. ปลายเรียวยาวรากสั้นๆ มีรากขนอ่อนสีน้ำตาล ใบเดี่ยว มีรูปร่างและหน้าที่ต่างกัน 2 แบบ ใบไม่สร้างอับสปอร์เป็นรูปไข่ กว้าง 10-25 ซม. ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลม โคนมน ขอบหยักเว้ามนตื้นๆ เข้าหาเส้นกลางใบทั้ง 2 ด้านปลายมน ไม่มีก้านใบ ใบชนิดนี้จะมีสีเขียวอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งแต่ยังคงติดอยู่กับต้น ดังนั้นจะเห็นซ้อนกันหลายใบ เป็นที่สะสมของใบไม้แห้งที่ตกลงมา ซึ่งจะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นใบสร้างอับสปอร์กว้าง 20-35 ซม. ยาว 0.6-1 ม. รูปคล้ายใบประกอบแบบขนนก ขอบหยักเว้าลึกเข้าหาเส้นกลางใบทั้ง 2 ด้าน แต่ละหยักลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ ใบชนิดนี้มีสีเขียวตลอดอายุ เมื่อใบแก่แผ่นใบจะร่วงไป คงเหลือส่วนก้านใบและเส้นกลางใบติดอยู่กับต้น เส้นใบเป็นร่างแห กลุ่มอับสปอร์รูปกลมหรือรูปไข่ เรียงตัวค่อนข้างมีระเบียบ 2 ข้างของเส้นใบที่แบ่งกลางแต่ละแฉก
 

ส่วนที่ใช้ :  ส่วนหัว

สรรพคุณ :    
ส่วนหัวของกระแตไต่ไม้
    - ปรุงเป็นยาต้มรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการและกระปริกระปรอย
    - ขับระดูขาว
    - แก้เบาหวาน
    - แก้ไตพิการ
    - เป็นยาคุมธาตุ
    - เป็นยาเบื่อพยาธิ

 ใบ
- ตำพอกแผล แก้แผลเรื้อรังและแผลพุพอง

วิธีใช้ : ใช้ส่วนหัวของกระแตไต่ไม้ ต้มรับประทาน 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น